สหราชอาณาจักรเริ่มคริสต์ศักราชใหม่ 2021 ด้วยความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่สุดในรอบหลายทศวรรษ ซึ่งส่งผลต่อทั้งทวีปยุโรปด้วย นั่นคือการพ้นจากกลไกทุกระบบของสหภาพยุโรป “อย่างเป็นทางการ”

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 1 ม.ค. ว่า สหราชอาณาจักรสิ้นสุดสถานภาพการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป ( อียู ) อย่างเป็นทางการ เมื่อเวลาเที่ยงคืนตรง ตามเวลาท้องถิ่นของกรุงบรัสเซลส์ เมื่อเข้าสู่วันที่ 1 ม.ค. 2564 ซึ่งตรงกับเวลา 23.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นในกรุงลอนดอน ของคืนวันที่ 31 ธ.ค. 2563 โดยเป็นการครบช่วงเวลาเปลี่ยนผ่าน 11 เดือน หลังสิ้นสุดการเป็นสมาชิกของอียูยาวนาน 48 ปี เมื่อวันที่ 31 ม.ค.ที่ผ่านมา และสร้างประวัติศาสตร์เป็นประเทศแรกในอียู ที่ลาออกจากการเป็นสมาชิก
  
ทั้งนี้ 1 ชั่วโมงก่อนเข้าสู่วันปีใหม่ตามเวลาท้องถิ่นของสหราชอาณาจักร สถานีโทรทัศน์แห่งชาติออกอากาศคลิปการอวยพรปีใหม่ของนายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสัน ซึ่งกล่าวในตอนหนึ่งว่า สหราชอาณาจักรกำลังก้าวเข้าสู่ช่วงเวลาประวัติศาสตร์ ด้วยการที่เสรีภาพและอำนาจกลับคืนสู่กรุงลอนดอนอีกครั้ง แต่ผู้นำสหราชอาณาจักรยังคงไม่ได้ให้รายละเอียดมากนัก นอกจากความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและการค้าที่สำคัญ คือการที่นโยบายตลาดเดียวของอียูไม่มีผลต่อสหราชอาณาจักรอีกต่อไป เนื่องจากความสัมพันธ์ทางการค้าของทั้งสองฝ่ายจะเป็นไปตามข้อตกลงการค้าและความร่วมมือฉบับใหม่

อย่างไรก็ตาม การขนส่งสินค้าข้ามพรมแดนมีอันต้องชะงักไปอีกนานหลายวัน เพื่อให้กระบวนการตามกฎเกณฑ์ใหม่เข้ารูปเข้ารอยมากกว่านี้ ขณะที่วิถีชีวิตของชาวสหราชอาณาจักร และอีก 27 ประเทศสมาชิกอียู เปลี่ยนไปโดยปริยาย ต่างฝ่ายต่างสูญเสียเอกสิทธิ์ในการอยู่อาศัย การทำงาน และการข้ามพรมแดนระหว่างกัน เนื่องจากนับจากนี้ต่างฝ่ายต่างต้องปฏิบัติตามกฎหมายของประเทศที่ตัวเองต้องการข้ามแดน
 
ในภาพรวมถือว่ายังคงต้องจับตาอีกระยะหนึ่ง ว่าในขณะที่ฝ่ายสนับสนุนเบร็กซิตเชื่อมั่นว่า การออกจากอียูคือการหลุดพ้นจากอิทธิพลของเยอรมนีและฝรั่งเศส ส่วนฝ่ายคัดค้านมองว่าจะเป็นการลดทอนอิทธิพลและบทบาทของสหราชอาณาจักรทั้งในภูมิภาคและเวทีโลก รัฐบาลสหราชอาณาจักรของจอห์นสันจะสามารถรักษาสถานภาพดั้งเดิมที่มีอยู่ และสร้างเครือข่ายใหม่ในอนาคตได้อย่างราบรื่นเพียงใด